รีวิวหนัง Shazam Fury of the Gods เขากลับมาแล้ว..ฮีโร่สุดแกร่งแห่งบ้าน DC การได้รับโอกาสกลับมาครั้งนี้ก็เหมือนได้เติมพลังให้กับงานสร้างของคุณ ใน “Shazam! Fury of the Gods ชาแซม! จุดเดือด ทูนหัวขั้นเทพ” จึงมาพร้อมกับคอนเซปต์สุดยิ่งใหญ่ จินตนาการที่แหวกแนวและการเติบโตของตัวละครต่างๆ ที่แทบจะล้น แต่ยังคงเป็นหนังฮีโร่ที่ครองใจคนดูอยู่หรือเปล่า? ชาแซม! ความโกรธเกรี้ยวของเหล่าทวยเทพ Shazam! จุดเดือดขั้นเทพ นอกจากนี้ยังบอกเล่าเรื่องราวของ Billy Batson ในวัยหนุ่มที่เมื่อเขาตะโกนว่า “Shazam!” เขาจะแปลงร่างเป็นซูเปอร์ฮีโร่ร่างกำยำชื่อ Shazam วายร้ายตัวใหม่ที่เกิดใหม่จากเบื้องบน นั่นคือเทพเจ้าผู้โกรธเกรี้ยวที่ตั้งใจจะยึดอำนาจบนดาวเคราะห์ที่เรียกว่าโลก
การกลับมาครั้งนี้ยังนำทีมผู้สร้างดั้งเดิมกลับมา นำโดย “เดวิด เอฟ. แซนด์เบิร์ก” ที่ยังคงดูแลการผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ พร้อมด้วย “เฮนรี เกย์เดน” ที่เคยร่วมงานกันในเรื่องนี้ เขียนบทในภาคที่แล้ว ร่วมกับมือเขียนบท “Fast & Furious: Hobbs & Shaw” คริส มอร์แกน ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสคริปต์สำหรับฉากที่เต็มไปด้วยแอ็คชั่น สิ่งหนึ่งที่ Shazam! พัฒนามากขึ้น นั่นคือความลื่นไหลของเรื่องนั่นเอง หนังยังคงดึงเอกลักษณ์ของตัวละครออกมาได้อย่างตรงจุด พวกเขารู้ว่าผู้ฟังต้องการอะไร ควบคู่ไปกับการสร้างคาแรกเตอร์ที่จี๊ดและโดดเด่นอย่างแน่นแฟ้นด้วยการเป็นตัวของตัวเอง ไม่พยายามลอกเลียนแบบเพื่อนบ้านข้างบ้าน
“Shazam! Fury of the Gods” มีฉากเอนด์เครดิตหรือไม่? ไขปริศนาหาคำตอบได้ที่นี่
“แซคคารี ลีวาย” ยังคงเติมเต็มบทบาทและบทบาทของเขาในฐานะชาแซม เขายังคงสามารถใช้เสน่ห์และการเคลื่อนไหวของเขาในการออกแบบตัวละครนี้เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ชม แม้ว่าจะแทบไม่มีอะไรใหม่และแตกต่างจากภาคก่อนๆมากนัก อีกทั้งภาคนี้ดูเหมือนว่าองค์ประกอบของบทนี้ดูจะตื้นและเบาบางมากขึ้น กลายเป็นความหนักแน่นในอุปนิสัยนี้ค่อยๆ จางหายไป
ยังรั้งตำแหน่งตัวจี๊ด รีวิวหนัง Shazam Fury of the Gods
รีวิวหนัง Shazam Fury of the Gods นั่นกลายเป็นปัญหาหลักของ Shazam! ความโกรธเกรี้ยวของเหล่าทวยเทพ แต่ค่อนข้างขาดแรงจูงใจในการชักนำผู้ชมให้ดื่มด่ำไปกับการผจญภัยของพวกเขา บทอ่อนไปหน่อย เสริมด้วยประเด็น war of the god ที่เหมือนละครราชวงศ์อะไรเทือกนั้น ลดความคมชัดของภาพยนตร์ชุดนี้อย่างคาดไม่ถึง
ชาแซม! แถมในภาคนี้ยังกลับมาพร้อมกับตัวละครอีกเพียบที่ขนกันมาเพียบ ทั้งตัวละครเก่าและตัวละครใหม่ เอาตรงๆ ช่วงเวลาของหนังแทบจะหาช่องว่างที่ทำให้คนดูรู้สึกผูกพันกับตัวละครแทบไม่ได้เลย ด้วยองค์ประกอบเนื้อหาที่อัดแน่นอัดแน่นตลอดเวลา 2 ชั่วโมงของหนังพลอยทำให้ผู้ชมไม่มีโอกาสได้รู้จักตัวละครเท่าที่ควร แม้จะโชคดีที่ได้ตัวประกอบใหม่เพิ่มเข้ามาอย่าง “เฮเลน มิเรน” และ “ลูซี หลิว” คุณแม่มือโปร ที่พวกเขาสร้างผลงานในหนังซูเปอร์ฮีโร่ออกมาได้อย่างมืออาชีพ แม้ว่าบทบาทที่ได้รับจะไม่ค่อยฉลาดและมีชั้นเชิงนัก แต่ก็ถือเป็นองค์ประกอบที่เรียกความสนใจคนดูได้ดี
เช่นเดียวกับ “Rachel Seigler” ตัวละครที่น่าประหลาดใจที่เพิ่มเข้ามาในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ตรึงใจผู้ชมได้ไม่ยาก การแสดงของเธอถือว่าดี น่าเสียดายที่เวลาออกอากาศที่มีอยู่ยังไม่ได้สร้างความสัมพันธ์กับผู้ชม ร่วมกับทีมงาน Shazam คนอื่นๆ รวมถึง Adam Brody, Ross Butler, D.J. Katrona, Grace Caroline Curry และ “Meghan Good” ที่มากับแฟลชดูเหมือนจะดี แต่ฉากนั้นไม่โดดเด่นพอ ในด้านความบันเทิง Shazam! Fury of the Gods อาจเป็นคำตอบที่ดีทีเดียว แต่หากมองถึงศักยภาพของตลาดหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในยุคนี้ หนังเรื่องนี้อาจจะเป็นแค่หนังย้อนเวลาก็ได้ เพราะจริงๆ แล้ว Shazam! ภาคนี้ยังหาจุดดีและจุดเด่นที่ตราตรึงและน่าจดจำแทบไม่เจอ เป็นหนังฮีโร่ที่สนุกมากๆ ดูแล้วเฉยๆ
แต่ถึงกระนั้นหากมองในแง่ของหนังที่เป็นความรู้สึกของหนัง DC ในยุคที่กำลังจะล่มสลาย ก็ถือว่าค่อนข้างน่ากลัวอยู่เหมือนกัน เพราะสิ่งที่หนังเรื่องนี้สื่อถึง มันยังมีบางมุมและบางจุดที่ปูทางไปสู่อนาคตอีกด้วย เป็นเพียงว่าเราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นความต่อเนื่องในทิศทางนั้นอีกต่อไป อย่างน้อยนี่คือหนังที่พยายามผูกจักรวาลเข้าด้วยกัน ความพยายามดี แต่ก็ยังไม่ดีพอ
ทำไมทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
เจมส์ กันน์ ประธาน DC Studios ได้ประกาศทิศทางของการ์ตูนดีซีภาคก่อนๆ เราจะต้องใส่ ‘Shazam! สร้างมันออกมาก่อนที่ Gunn จะขึ้นครองราชย์อย่างเต็มตัว และแน่นอนว่าชะตากรรมของมันขึ้นอยู่กับรายได้ของภาคนี้ว่าอนาคตของ Shazam ฮีโร่ผู้วิเศษจะสดใสหรือเป็นเพียงตำนานของซูเปอร์ฮีโร่ โรคร้ายที่เคยสร้างเป็นหนัง เรื่องราวของ ‘Shazam! ความโกรธเกรี้ยวของเหล่าทวยเทพเริ่มต้นที่เฮสเปรา ลูกสาวทั้งสามของเทพเจ้าแอตลาส (เฮเลน เมียร์เรน), คาลิปโซ่ (ลูซี ลุย) และแอนเธีย (ราเชล เซเกลอร์) มาถึง โลกมนุษย์เพื่อค้นหา “เมล็ดพันธุ์” เพื่อสร้างอาณาจักรที่ล่มสลายของพวกเขาขึ้นมาใหม่
แต่เมื่อ Shazam ถูกขัดขวาง (รับบทโดย Zachary Levi, Zachary Levi) และครอบครัวได้นำลูกสาวทั้งสามแห่ง Atlas เพื่อทวงคืนพลังแห่งเทพเจ้าจากพวกเขาและทำลายล้างโลก ฮีโร่เวทมนตร์ที่ดำรงอยู่เมื่อยังเป็นวัยรุ่นต้องรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อปกป้องโลก
สำหรับภาคต่อนี้ เฮนรี่ เกย์เดน ที่กลับมาสร้างเรื่องราวร่วมกับคริส มอร์แกน ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง ‘Fast and Furious’ ได้มาร่วมสร้างมหากาพย์และความบันเทิงบทใหม่ กว่าเดิม ซึ่งยอมรับว่าบทบาทของพวกเขาไม่ได้ขี้เกียจสร้างความบันเทิงเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทพนิยายกรีกทั้งสิ้น มีเรื่องราวของฮีโร่ที่ไม่มั่นใจในตัวเอง มันเต็มไปด้วยเรื่องราวครอบครัวที่อบอุ่นและเรื่องตลกเฮฮารีวิวหนัง Shazam Fury of the Gods
ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นภาพยนตร์ที่สนุกสนาน บันเทิงจนนึกว่าบัตรราคาปกติ 250 บาท หรือ 450 บาท ในระบบ IMAX แล้วละก็ คุ้มสุดๆ สัตว์ในตำนานกรีกและการกระทำที่เลวร้าย และความตลกมาในแบบที่กลัวว่าคนดูจะเบื่อ แต่ผลที่ออกมากลับทำให้กลายเป็นหนังที่ไม่น่าจดจำ ไม่แน่ใจว่ากำกับโดย David F. Sandberg หรือแก้ไขโดยสตูดิโอเช่น Warner Discovery
เพราะเมื่อเราพูดถึงเรื่องดี ๆ ของหนังดังที่กล่าวมาแล้วนั้น หนังทำหน้าที่แค่ ‘ประกาศ’ แต่ไม่ได้ ‘บอกเล่าให้เกิดอารมณ์’ แต่อย่างใด จึงเป็นที่มาของชื่อบทความวิจารณ์นี้ว่า ‘ ทำไมทุกอย่างถึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว?’ เพราะแค่ 20 นาทีแรกของหนังเราก็รู้เกือบหมดตั้งแต่ในตัวอย่างแล้ว (ไม่ใช่ว่าฉันเห็นทุกฉากในตัวอย่าง)
End Credit คือดีย์
เพียงแต่มีรายละเอียดของงานเข้ามาบอกเราว่า อ๋อ! พี่น้อง 3 คนในตัวอย่างโกรธที่อาณาจักรถูกทำลาย ไม่เพียงแต่ดึงพลังเวทย์มนตร์ของ Shazam กลับมาเท่านั้น และหลังจากนั้นก็มีการลักพาตัว พลังของฮีโร่ถูกดูดซับจนญาติของ Billy Batson กลายเป็นคนธรรมดาและกลายเป็นคนที่น่าสังเวชเมื่อเทพเจ้าคิดจะทำลายโลกมนุษย์ ส่วนพระเอกที่เสียความมั่นใจไม่รู้จะรับมือกับคติแบบนี้ยังไงดี ฯลฯ
ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดของมังกรว่ามีที่มาอย่างไร แต่เล่าแค่ 2-3 ประโยค สัตว์ในตำนานกรีกที่โผล่มาถล่มโลก ไปจนถึงฉากที่ให้พื้นที่ญาติๆ ของ Billy ได้แสดงความสามารถในชีวิตจริง และที่สำคัญที่สุดคือเรื่องราวของครอบครัว Batson ที่หนังให้เวลานักแสดงอย่าง Asher Angel น้อยมากที่จะทำให้ Levi ใน Shazam โดดเด่นในเรื่อง จนปมเกี่ยวกับครอบครัวที่เคยเป็นจุดประทับใจในภาคแรกหายไปอย่างน่าเสียดาย
และเมื่อพิจารณาว่าหนังเลื่อนมา 3-4 รอบกว่าจะเข้าวันที่ 16 มีนาคม ก็ทำให้เซอไพรส์หลักของหนังที่มาในตอนท้ายเหมือนเรากำลังดูสิ่งที่ยังไม่หวังว่าจะเกิดขึ้น ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะตัวหนังเองสร้างก่อนการมาของ James Gunn และที่สำคัญแม้หนังจะยาวกว่า 2 ชั่วโมง แต่ก็ยังเคลียร์ตัวเองไม่ได้ในหลายๆ จุด ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ลูกสาวของ Atla แต่ละคนมีคาแร็กเตอร์ที่จู่ ๆ ก็กลายเป็นคนเลวและเป็นคนดี
หรือที่น่าเสียดายที่สุดคือภาพยนตร์เรื่องนี้มองข้ามด้านมืดของการเติบโตของ Billy Batson ซึ่งควรเป็นประเด็นหลักในการเล่าเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะเราไม่ค่อยได้เห็นผลกระทบจากการตัดสินใจแบบเด็กๆ ของเขา โดยเฉพาะผลกระทบต่อครอบครัวที่รักเขามากจนหลงทางในร่างซุปเปอร์ฮีโร่ชาแซม จนทำให้วีรกรรมของเขาไม่หวือหวาเมื่อมองจากมุมมองของหนังดีๆรีวิวหนัง Shazam Fury of the Gods
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่เราพบว่าการแสดงของ Jack Dylan Grazer ในบท Freddy เพื่อนซี้ขาขาดของเขานั้นแสดงได้ดีมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเสน่ห์ในการแสดงของเขาทั้งความสดใสและภาพลักษณ์ มองในแง่ดีว่าหลายคนได้ใจหนังไปเต็มๆ ท่ามกลางฉากบู๊ที่กระหึ่ม และสิ่งที่น่าทึ่งก็คือเคมีระหว่างเกรเซอร์และน้องชายของเขา ราเชล เซกเลอร์ (ผู้ซึ่งกำลังจะเล่นเป็นสโนว์ไวท์) เข้ากันได้อย่างน่าชื่นชมและเป็นหัวใจของเรื่อง