รีวิวหนัง Dungeons & Dragons หัวขโมยเจ้าเสน่ห์และกลุ่มนักผจญภัยที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ร่วมมือกัน โลกรู้จัก ‘Dungeons & Dragons’ เป็นเกมกระดานที่ผู้เล่นสวมบทบาท ละครที่แต่งขึ้นมีมาตั้งแต่ปี 1974 และสร้างฐานแฟนคลับที่คลั่งไคล้โลกแฟนตาซีในดินแดนลึกลับหรือดันเจี้ยนจนแทบจะกลายเป็นวัฒนธรรมหรือกลุ่มลัทธิใหม่ ใครนึกไม่ออกว่าเด็กต่างชาติชอบเกมนี้มากแค่ไหน ลองนึกภาพตัวเอกของซีรีส์ ‘Stranger Things’ ที่เล่นเกมนี้ด้วยกันทั้งคืนหรือเกิดในคลับหลังเลิกเรียน แต่เมื่อมาถึงยุคของเกมคอมพิวเตอร์ก็มีหลายเกมที่ใช้เกมกระดานดังกล่าวเป็นส่วนเสริม เช่น ชุด ‘Baldur’s Gate’ หรือ ‘Neverwinter Nights’ ที่ใช้ชื่อเมืองในเกมกระดาน ฯลฯ
สำหรับโลกแห่งภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันอีกด้วย ด้วยความนิยมข้ามปีข้ามยุคของเกม หนังไตรภาคถูกพัฒนาตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2012 และจุดเริ่มต้นก็น่าผิดหวังจนแฟนเกมแทบไม่อยากนึกถึง แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องแรกจะมีเจ้าของรางวัลออสการ์ เจเรมี ไอรอนส์ ร่วมแสดง แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร แน่นอนว่าทรัพย์สินอันมีค่าดังกล่าวหลังจากเกิดดราม่าหลายมือ ค่ายผู้ถือลิขสิทธิ์ปัจจุบันจึงไม่มีทางปล่อยให้หนังตายง่ายๆ และนำมารีบูทหนังในปีนี้.
‘Dungeons & Dragons: Honor Among Thieves’ กำกับโดยคู่หูที่ไม่คุ้นเคยแต่น่าสนใจอย่าง John Francis Daley และ Jonathan Goldstein ) ซึ่งเคยร่วมเขียนบท ‘Spider-Man: Homecoming’ (2017) และ ‘Horrible Bosses’ (2011) ส่วนผลงานการกำกับก็มีผลงานอื่นๆ อย่าง ‘Game Night’ (2018) ที่เคยเป็นข่าวปากต่อปากในโซเชียล สื่อก็เช่นกันในบางจุด
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังนำแสดงโดยนักแสดงระดับแม่เหล็ก ซึ่งรวมถึงคริส ไพน์ในฐานะสายลับที่มีเสน่ห์ มิเชลล์ โรดริเกซรับบทเป็นเรจิ-ฌอง เพจคนป่าเถื่อน -ฌอง เพจ) ในบทพ่อมดผู้เสียสละ จัสติส สมิธ ในบทนักเวทย์ฝึกหัดผู้ไม่เชื่อ และสาวน้อยน่ารักอย่างโซเฟีย ลิลลิส ผู้งดงามจับตาในบทบาทของปีศาจที่ปลอมตัวมา โดยยังได้รุ่นใหญ่ที่ได้รับเชิญในภาพยนตร์ดังอย่าง Hugh Grant (ฮิวจ์ แกรนท์) มารับบทโจรรุ่นพี่ และยังมีดารารับเชิญลับอีกคนที่มาพร้อมเซอร์ไพรส์แบบเนียนๆ
หนังทรง B ที่เซอร์ไพรส์ รีวิวหนัง Dungeons & Dragons
รีวิวหนัง Dungeons & Dragons หนังเลือกอาชีพตัวละครได้คลาสสิกมาก คือการใช้อาชีพและคลาสของตัวละครในเกมกระดานยุคแรก ไม่ว่าจะเป็นนักสู้หรือคนเถื่อน Mage หรือ Priest พร้อมกับโจรและ Paladins หรือ Magic Knights นอกจากนี้ยังเสริมด้วยดรูอิกหรือเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีพลังในการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้หนังยังพาเราไปเยี่ยมชมเมืองดังต่างๆ ในเกม ผ่านการเดินทางของตัวละคร
ณ จุดนี้ สำหรับผู้ที่ไม่ได้เล่นเกม พวกเขาอาจเริ่มกังวลว่าสิ่งนี้อาจจะไม่มีใครสังเกตเห็น ซึ่งก็จริงเพียงเล็กน้อย หลายครั้งที่หนังเอ่ยชื่อเฉพาะที่ทำให้อยากรู้ว่าคืออะไร แต่ก็ไม่มากจนดูหนังไม่ได้ ต้องบอกว่าผู้สร้างอาจดึงดูดผู้ชมภาพยนตร์มากกว่าเกมเมอร์ด้วยซ้ำ เพราะถึงแม้มันจะไม่ได้ปูพื้นฐานของโลกใบนั้นให้เรารู้ แต่มันก็ค่อย ๆ เล่าให้เราเข้าใจจากเรื่องราวที่ดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ความจำเป็นในการเล่าเรื่องที่เรียบง่ายเพื่อชดเชยชุดข้อมูลที่ผู้เล่นประเภทนี้จะเข้าใจ ยังเป็นดาบสองคมเพราะพล็อตเรื่องเรียบง่ายจนต้องบอกว่าหนังแทบจะเป็นสูตรสำเร็จที่เราคาดเดาขั้นตอนต่อไปได้ไม่ยากเลยตลอดทั้งเรื่อง และแม้ว่ามนต์เสน่ห์จากความบันเทิงจะหล่อเลี้ยงให้เราสนุกจนลืมความธรรมดาไปนานแสนนาน แต่เมื่อหนัง 2 ชั่วโมงกว่าๆ หนังภาคหลังๆ ที่น่าจะเพิ่มดีกรีความมันส์ขึ้นแบบสุดๆ รู้สึกว่าหนังสนุกน้อยลง มาพอประมาณ
ทำเอาตกหลุมรัก
แต่หนังก็มีหลายๆ สถานการณ์ ที่ทำให้เราลืมความคุ้นเคยไปได้ ตั้งแต่คุกอันเย็นยะเยือก สนามรบร้างที่เต็มไปด้วยภูตผีปีศาจ เกม City of Survival ดันเจี้ยนลับใต้ดินที่มีมังกรยักษ์ไปจนถึงสังเวียนแห่งความตาย พูดแค่นี้ ก็พอจะนึกออกแล้วว่านี่คือหนังแอคชั่นแฟนตาซีขวัญใจเด็กๆ มีอะไรให้ตื่นเต้นมากมาย หัวใจของเขาพองโตไปกับมัน
และอีกอย่างที่ทำให้หนังแฟนตาซีเกรดบีเรื่องนี้มีเสน่ห์คือบทที่ปั้นตัวละครแต่ละตัวได้น่าสนใจมาก ยิงมุขเยอะ ต้องยอมรับว่าเป็นมุขควายที่ดี นี่แหละ แต่จังหวะของเรื่องเหมาะสมมาก ทำเอาฮาลั่นอยู่บ่อยๆโดยไม่คิดว่าจะฮาแตกกับหนังเรื่องนี้จริงๆ ที่เห็นในตัวอย่างพออยู่ในหนังจริงยิ่งขยี้มุกให้ละเอียด โดยเฉพาะทีมปล้นของตัวเอกนี้เคมีเข้ากันสุดๆ ไพน์เองก็อวดเสน่ห์อยู่เรื่อยๆ ความกะล่อนขี้ประชดประชดมันไปสุดๆ จะว่าไปรสชาติความตื่นเต้นก็ไม่ต่างจากก๊วน ‘Guardians of the Galaxy’ (2014) ของมาร์เวลในธีมโลกแฟนตาซียุคกลาง
นานมากแล้วที่เราไม่ได้ดูหนังที่สนุกและเป็นธรรมชาติขนาดนี้ เป็นเซอร์ไพรส์ที่ไม่คาดฝันว่าหนังสไตล์นี้จะทำให้เราหลงรักได้ขนาดนี้ ถ้าให้เปรียบเทียบความรู้สึกก็คงคล้ายกับตอนที่บังเอิญได้ดูและหลงรัก ‘Stardust’ (2007) ผลงานเรื่องที่ 2 ของผู้กำกับ Matthew Vaughn (แมทธิว วอห์น) ก่อนที่เขาจะโด่งดังจากการทำกาแฟ แฟรนไชส์ยอดฮิตอย่าง ‘Kick-Ass’ และ ‘Kingsman’ ในภายหลัง ภาพยนตร์ไม่ได้มีโทนเดียวกัน แต่ความประทับใจในการรับชมก็น่าหลงใหลพอๆ กันรีวิวหนัง Dungeons & Dragons
ฉันเชื่อว่าบางทีผู้กำกับของ Daley และ Goldstein จะทำให้ ‘Dungeons & Dragons’ กลับมาเป็นแฟรนไชส์ที่สนุกสนานที่สุดพร้อมกับภาคต่อที่รอคอยมากที่สุด หรืออาจเป็นก้าวแรกที่จะพาพวกเขาไปสู่หนังเรื่องต่อไปกับค่ายที่ใหญ่กว่า มันคุ้มค่าที่จะดู
ดีจัดรับต้นปี
ภาพยนตร์เก่าของ Dungeons & Dragons ลดลงทั้งรายได้และบทวิจารณ์ แม้จะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Razzie Awards สองภาคต่อของภาคต่อก็เน้นย้ำถึงการลดลงเช่นกัน ดังนั้นการกลับมาของ Dungeons & Dragons: Honor Among Thieves นี้จึงทำให้เกิดคำถามมากมาย มีหลายสิ่งที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง
และแม้ว่าแฟน ๆ จะแอบตื่นเต้น แต่ก็ไม่ค่อยมีใครแน่ใจว่าหนังจะไม่แย่ แต่ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ เพราะสำหรับผม Dungeons & Dragons: Honor Among Thieves คือหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดของไตรมาสที่ 1 ปี 2023 อย่างไม่ต้องสงสัย และมีโอกาสที่จะขึ้นสู่เวทีที่ดีที่สุดในปีนี้ด้วยซ้ำ
ทั้งสนุกและตื่นเต้น เป็นหนังตลกที่ยิงมุกตลกไม่หยุดหย่อน เป็นหนังผจญภัยที่ไม่หวงสถานที่และตัวประหลาด ดุเดือดไม่เกรงใจคนทำ CG เป็นหนังฮีโร่ที่ตัวละครทุกตัวมีฉากของตัวเอง และตัวละครแต่ละตัวก็เคมีเข้ากันสุดๆ และยังเป็นหนังครอบครัวที่ไม่ต้องพูดคำว่าครอบครัวบ่อยเกินไปก็พาคนดูน้ำตาซึมในตอนจบได้ง่ายๆ Dungeons & Dragons: Honor Among Thieves อิงจากความสัมพันธ์ที่เป็นธรรมชาติและไม่สร้างความรำคาญ เป็นภาพยนตร์ที่เหมาะกับเกือบทุกตอน รู้ว่าคุณคือใคร คุณต้องการนำเสนออะไร และล็อกได้แทบทุกจังหวะ เหนือความคาดหมายของแฟน ๆ ทุกคน และไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ D&D ที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
สำหรับใครที่เป็นแฟน D&D ขอแสดงความยินดีด้วยที่ในที่สุดคุณก็มีหนังจากเกมที่จะฉายแววและลบอดีตอันเส็งเคร็งไปจนหมดสิ้น แต่สำหรับผู้ที่ไม่ใช่แฟนของ Dungeons & Dragons: Honor Among Thieves คือภาพยนตร์แฟนตาซี ปล้น และผจญภัยที่คุณไม่ควรพลาดในปีนี้ มาลองพิสูจน์กันว่าจะเจ๋งแค่ไหนในโรงภาพยนตร์รีวิวหนัง Dungeons & Dragons