รีวิวซีรีส์ Bridgerton จากนวนิยายขายดีเรื่อง Bridgerton ของจูเลีย ควินน์ สู่ซีรีส์แนวรักดราม่าคอเมดี เรื่องราวโรแมนติกแสนหวานท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวที่เน้นย้ำถึงคุณค่าของสังคมชั้นสูง มิตรภาพ ความรัก เส้นทางของแต่ละครอบครัว และการตามหารักแท้ Bridgerton ผลิตโดย Shondaland และผู้สร้าง Chris Van Dusen ซึ่งกำลังเป็นกระแสบน NETFLIX ดัดแปลงมาจากหนังสือเล่มแรก (The Duke Andi) ของซีรีส์ Bridgerton ซึ่งเป็นนวนิยายโรแมนติกคลาสสิก เรื่องราวของ Daphne Bridgerton ลูกสาวคนโตของหญิงม่ายผู้มั่งคั่ง Lady Violet Bridgerton จากตระกูลขุนนางรีเจนซี่ และ Simon Basset ดยุคแห่งเฮสติ้งส์รูปหล่อที่แม่หลายคนอยากมีเป็นลูกเขย เรื่องราวเกี่ยวกับสังคมชั้นสูงในสมัยนั้น ซึ่งการหาคู่ครองที่เหมาะสมดูเหมือนจะเป็นงานหลักของผู้หญิงสังคมชั้นสูง ซึ่งเชื่อกันว่านั่นเป็นเครื่องรับประกันว่าพวกเธอจะใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิใจได้
ครอบครัว Bridgerton มีทายาททั้งหมด 8 คน และจะเป็นตัวละครหลักของซีรีส์ Bridgerton ซึ่งมีทั้งหมด 8 เล่ม ซึ่งเราได้แปลมาแล้วถึงเล่มที่ 7 Daphne Bridgerton (Phoebe Dynevor) เป็นลูกสาวคนโตของตระกูล Bridgerton ที่มีอำนาจ ในฐานะสาวเดบิวตองต์ (เด็กสาวจากตระกูลขุนนาง ตามประเพณีของยุโรป) ที่ก้าวเข้าสู่ตลาดการจับคู่ที่ดุเดือดของลอนดอนในยุครีเจนซี่ Daphne หวังว่าจะเดินตามรอยเท้าพ่อแม่ของเธอและค้นหาคู่ที่เกิดจากรักแท้ ชายหนุ่มที่เข้ามาในตอนแรกดูเหมือนจะผ่านได้ง่าย แต่หลังจากที่พี่ชายคนโตของเธอเริ่มขัดขวางผู้ชายที่มีศักยภาพที่จะเป็นคู่ของเธอ
หนังสือพิมพ์ซุบซิบสังคมชั้นสูงที่เขียนโดยนักเขียนลึกลับ Lady Whistledown เริ่มใส่ร้าย Daphne ดังนั้นเธอจึงทำข้อตกลงกับดยุคแห่งเฮสติ้งส์ Simon Basset (Regé-Jean Page) หนุ่มโสดที่เป็นที่นิยมและดื้อรั้นที่แม่ของสาวเดบิวตองต์ทุกคนใฝ่ฝันที่จะได้เป็นลูกเขยในซีซั่นนี้ หลอกคนทั้งเมืองว่าสองคนนี้เรียนด้วยกัน ถึงแม้ทั้งคู่จะบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการอะไรจากกันก็ตาม แต่ก็ชัดเจนว่าพวกเขาเริ่มมีความรู้สึกต่อกันหลังจากที่ต้องเอาชนะกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อหน้าทุกคนในสังคมที่กำลังมองอนาคตของทั้งคู่ กิจการของคนธรรมดาคือกิจการของสังคมนี้
กับกฎข้อแรกที่ทำสาว ๆ ใจละลาย รีวิวซีรีส์ Bridgerton
เมื่อพูดถึงนิยายโรแมนติก มีกฎเพียงไม่กี่ข้อที่ “ต้องมี” ในนิยายที่ไม่ควรพลาด มันจะทำให้คุณรู้สึกว่างเปล่า หนึ่งคือพระเอกต้อง “หล่อ แกร่ง และเซ็กซี่” นางเอกสามารถไร้เดียงสาหรือซุกซนก็ได้ แต่ต้องมีเสน่ห์และน่าดึงดูด และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ไม่ควรพลาดคือฉากรักที่เร่าร้อนพร้อมกับตอนจบที่ต้อง Happy Ending มันจะเป็นดราม่าที่ทำให้ร้องไห้ จบเศร้าที่ไม่เข้าข่ายนิยายโรแมนติกรีวิวซีรีส์ Bridgerton
เรื่องนี้เป็นไปตามหลักการของนิยายโรแมนติกอย่างเต็มที่ และเมื่อทำเป็นซีรีส์ พระเอกของเราสามารถทำให้หัวใจของคุณละลายได้อย่างง่ายดายด้วยผิวสีเข้มของ Regé-Jean Page และดวงตาที่ดุดันและเศร้าหมอง และนางเอกตัวเล็กน่ารักอย่าง Phoebe Dynevor ที่กลายเป็นเคมีที่ลงตัว ความหลงใหลที่เธอมีต่อ Duke ด้วยปมด้อยนั้นเร่าร้อนมาก ทั้งสองคนหิวโหยซึ่งกันและกันมากจนสถานที่ไม่สำคัญอีกต่อไป มันสามารถอยู่ที่ไหนก็ได้เพราะพวกเขารักกัน บอกเลยว่าฉากเลิฟซีนของทั้งคู่สวยงามและมีศิลปะในการสื่อสารกัน ทำให้เราเห็นฉากแบบนี้ว่าเป็นความรักและความปรารถนาที่พุ่งออกมาจากหัวใจจริงๆ
ไม่โป๊ ไม่ขี้เหร่ ถึงจะโป๊เปลือยหมดก็ตาม และที่สำคัญไม่ได้ทำขึ้นเพื่อให้เรตติ้งเกินความจำเป็น แต่สำคัญต่อเนื้อเรื่อง มีฉากหนึ่งที่ซีรีย์ถ่ายทอดต่างจากนิยายแบบนุ่มนวลมาก (คือนิยายสื่อสารได้ดีกว่ามาก) ถ้าใครไม่เคยอ่านนิยายก็จะไม่รู้ว่าฉากนี้คือฉากที่นางเอกข่มขืนพระเอก… โอ้โห!! แบบนี้จริงๆ เหรอ ในนิยายก็เป็นแบบนั้น แต่ในซีรี่ย์ถ่ายทอดแบบนุ่มนวลกว่าด้วยการแก้แค้นแบบที่ทำให้ดยุคตะโกนว่า “แดฟนี่ เธอทำอะไรลงไป”
จิกกัดเนียน ๆ เอาซะเกือบลืมไปเลย
นี่เป็นนวนิยายจากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แน่นอนว่าเราคงไม่เคยเห็นคนผิวสีเป็นตัวเอกหรือได้รับตำแหน่งสูงในสังคมในสมัยนั้น “ไซม่อน” ในนวนิยายเป็นดยุคหนุ่มรูปหล่อ เมื่อ “แดฟนี” เห็นเขาครั้งแรก เธอตะลึงกับความหล่อของเขา หนังสือบรรยายว่าเขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาจนน่าทึ่ง ถึงขนาดที่รูปปั้นของไมเคิลแองเจโลต้องเขินอาย ดวงตาสีฟ้าของเขาดูเป็นประกาย ตัวละครในนวนิยายที่เล่นบทบาทชนชั้นสูงไม่มีใครเป็นคนผิวสีเลย
แต่ในซีรีส์ พวกเขาให้สิ่งที่ตรงกันข้ามเกือบทั้งหมด แต่กลับกลมกลืนกันมากจนเราลืมไปว่ายุครีเจนซี่ที่แท้จริงไม่มีสิ่งนี้ ตัวละครชั้นสูงหลายคนเป็นคนผิวสี เริ่มตั้งแต่ราชินีที่ไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึงมากนักในนวนิยาย แต่ซีรีส์มีบทบาทสำคัญ ถึงจุดที่กุมอำนาจและแต่งงานกับผู้คน ดยุคที่สาวๆ คลั่งไคล้ หรือแม้แต่มิสทอมป์สัน (รูบี้ บาร์เกอร์) สาวสวยสุดฮอตที่มีจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งและโดดเด่นไม่แพ้แดฟนีในงานเต้นรำ ล้วนเป็นคนผิวสีที่มีบทบาทโดดเด่น
มาเริ่มกันที่สิ่งที่ไม่เด่นชัดนัก นั่นคือฟองแตง ทรงผมสูงของราชินี ตัวละครนี้เปลี่ยนทรงผมแทบทุกฉาก และบ่อยกว่านางเอกเสียอีก ทรงผมของราชินีได้รับความนิยมมาตั้งแต่ปลายยุคบาร็อค แต่เมื่อถึงยุครีเจนซี่ ทรงผมนี้ก็ได้รับความนิยมน้อยลงในหมู่วัยรุ่นแล้ว จะเห็นได้ว่าซีรีส์เน้นความนิยมในกลุ่มอายุต่างๆ ด้วยการที่ราชินีและแม่ของเธอไว้ทรงผมสูง (แม้ว่าจะไม่มีใครสูงเท่าราชินีก็ตาม) แต่ดูฟุ่มเฟือยกว่ารุ่นเด็กๆ ซึ่งเน้นความเรียบง่ายและความเก๋ไก๋มากกว่า ดูที่ศีรษะก่อน ใครอยากสูงกว่ากัน มาแข่งขันกัน
เราจะได้เห็นเสื้อผ้าที่ทับซ้อนกับแฟชั่นจากหลายยุค ตั้งแต่ยุคบาร็อค รีเจนซี่ และเครื่องประดับศีรษะอันงดงามของยุคโรแมนติก แฟชั่นในแต่ละยุคสมัยนั้นจะเห็นได้ชัดเจนในเสื้อผ้า เครื่องประดับศีรษะสามารถขยับได้ตามใจชอบ สาวๆ ส่วนใหญ่ในซีรีส์แต่งตัวตามแฟชั่นยุครีเจนซี่ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเสื้อผ้ากรีกโบราณ เราจะได้เห็นความทรมานจากการถูกมัดด้วยชุดรัดตัวที่ดันขึ้นไปถึงกระดูกไหปลาร้าเวลาหายใจ เบื้องหลังความงามของสาวๆ ที่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดและความแข็งแกร่ง เราเคารพสาวๆ ที่เกิดในยุคนั้นจริงๆ พวกเธอจะทนได้อย่างไร?
เราจะได้เห็นเครื่องแต่งกายของตัวละครในแต่ละช่วงวัยที่แตกต่างและสะดุดตา เพราะจะเปลี่ยนไปทุกฉากไม่มีการซ้ำ คนรับใช้จะต้องมือแข็งขณะซักผ้าอย่างแน่นอน พวกเธอจะถูกมิกซ์แอนด์แมทช์กันอย่างไม่เหมือนกันในแต่ละครอบครัว เรียกได้ว่ามีธีมสีเครื่องแต่งกายของครอบครัว ฉากต่างๆ ถูกจัดวางให้เป็นความฝันโรแมนติกที่เข้ากับเรื่องราวและชวนให้ชมบรรยากาศหรูหราที่ผู้คนในสังคมชั้นสูงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขรีวิวซีรีส์ Bridgerton
อีกสิ่งหนึ่งที่ซีรีส์แสดงให้เห็นคือแม้ว่าในสังคมสมัยนั้นผู้ชายจะเป็นหัวหน้าครอบครัวและมีความฉลาด แต่พวกเขาก็ต้องได้รับเครดิตในส่วนนี้เพราะผู้หญิงในยุคนั้นไม่ต้องทำงาน พวกเธอต้องได้รับการดูแลจากสามี ส่วนผู้หญิงในสังคมชั้นสูงมีหน้าที่ต้องสวยและสง่างาม มีเกียรติ และดูแลบ้าน เมื่อสามีจากไป หน้าที่ในการเป็นหัวหน้าครอบครัวก็ตกอยู่ที่ลูกชายคนโต เขามีหน้าที่คัดเลือกชายหนุ่มให้พี่สาวแทนที่จะเป็นพ่อ เขามีหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของทุกคนในบ้าน
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการตัดสินใจของผู้ชายจะทำให้เรื่องราวประสบความสำเร็จมากกว่าวิธีการของผู้หญิง ซีรีส์เรื่องนี้เน้นย้ำเรื่องนี้หลายครั้งโดยการแก้ปัญหาด้วยวิธีการของผู้หญิงที่ผู้ชายไม่เคยจินตนาการถึง เพื่อบอกเราว่าการเป็นแม่และภรรยาไม่ใช่ทรัพย์สินของผู้ชายเสมอไปตามที่สังคมบอกให้เป็น แต่พวกเขาคือช้างหลังที่ผลักดันให้ครอบครัวต้องเผชิญกับทุกสิ่ง ในขณะที่ช้างหน้าไม่เคยมองเห็นสิ่งนี้จากการให้ Daphne และแม่ของเธอมีบทบาทที่ดีกว่าในการแก้ปัญหามากกว่าผู้ชายในบ้าน
นอกจากจะดูสนุก เผ็ดร้อน และน่าพอใจด้วยคู่หลักแล้ว ซีรีส์นี้ยังมอบบทเรียนที่กระตุ้นความคิดโดยเจตนามากมาย พร้อมตอนจบที่ไม่คาดคิดจากการได้รู้ว่า Lady Whistledown นักเขียนลึกลับที่ชอบนินทาคนอื่นคือใครตั้งแต่ต้นเรื่อง โดยร่วมกันเดา เมื่อคำตอบถูกเปิดเผย นั่นคือจบ ในโลกนี้ อย่าตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกจริงๆ